น้ำมันตับปลา คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง
น้ำมันตับปลา เป็นที่รู้จักกันมานานในฐานะอาหารเสริมที่คนไทยรู้จักดี ตั้งแต่อดีตมาแล้วที่พ่อแม่มักจะบำรุงลูกของตนให้มีสุขภาพดีด้วยอาหารเสริมที่เรียกว่า น้ำมันตับปลา เนื่องมาจากประโยชน์ที่มีในน้ำมันตับปลานั่นเอง จนทำให้เกิดเป็นความคิดและทัศนคติในเชิงบวกว่า หากจะเลือกกินอาหารเสริมสุขภาพสักอย่าง น้ำมันตับปลานี่แหละมีประโยชน์และควรเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่เคยกินตอนเด็กๆ ส่วนประโยชน์ที่แท้จริงนั้น คืออะไร หลายคนอาจจะยังไม่รู้ก็ได้
น้ำมันตับปลา คืออะไร
น้ำมันตับปลา เป็นน้ำมันที่สกัดออกมาจากตับของปลาทะเล
สารอาหารสำคัญในน้ำมันตับปลา
- วิตามินเอ
- วิตามินดี
น้ำมันตับปลามีประโยชน์อย่างไร
เนื่องจากวิตามินเอและดี เป็นสารอาหารสำคัญในน้ำมันตับปลา ดังนั้น ประโยชน์ของน้ำมันตับปลาจึงอ้างอิงจากสารอาหารที่มีอยู่ในนั้น
- จากที่วิตามินดีมีสรรพคุณ ในการทำให้ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสทำงานได้ดีขึ้น การกินน้ำมันตับปลาเป็นประจำ จึงมีส่วนในการช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงดี เหมาะกับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต เพราะทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำรงชีวิตตลอดชีวิต
- หากผู้ใหญ่ที่เริ่มกินตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรงเช่นกัน จึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกเสื่อม กระดูกพรุน หรือกระดูกน่วม ได้ดี
- จากสรรพคุณของวิตามินดีอีกเช่นกัน ที่ทำให้มีผลในเรื่องการรักษาอาการอักเสบของเยื่อบุนัยน์ตาได้ อีกทั้งลดความเสี่ยงที่มลพิษภายนอกจะทำลายดวงตาได้ด้วย
- ในน้ำมันตับปลายังมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายขับสารพิษของเสียในตัวได้ดี
- ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บได้ดีขึ้น คือไปกระตุ้นระบบที่มีอยู่แล้วให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- น้ำมันตับปลาช่วยซ่อมแซมความเสื่อมของเนื้อเยื่อ เซลล์ต่างๆ ตลอดจนช่วยให้แผลสมานได้เร็ว
- มีผลการวิจัยจากต่างประเทศระบุว่า สารอาหารในน้ำมันตับปลาสามารถช่วยระงับอาการเจ็บปวด ตามร่างกายได้ ยิ่งคนที่เป็นโรคข้อต่ออักเสบ ทำให้ไม่ทุกข์ทรมาน
- ใช้ในการรักษาร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบันในเรื่องลดการกระจายตัวของเซลล์เนื้อร้ายอย่างมะเร็ง หรือระหว่างให้เคมีบำบัด ก็ช่วยลดอาการที่เป็นผลข้างเคียงได้
หมายเหตุ หากรับประทานมากเกินไป ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายได้ เหมือนการกินวิตามินเอมากไปนั่นเอง เช่น ทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนได้ นอกจากนั้นยังอาจทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติด้วย และที่สำคัญ สตรีมีครรภ์ควรระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ทำให้เกิดอาการผิดปกติได้